เกษตรกรสาวผู้ร่ำรวย (ความสุข)
คนเราเมื่อจนตรอกจนถึงที่สุดแล้วนั้นยังจะสามารถคิดถึงคนอื่นได้หรือไม่ เป็นคำถามที่เจียงหยวนเฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ เพราะความดื้อรั้น อยากจะครอบครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง จนทำให้เธอสูญเสีญทุกอย่าง
ผู้เข้าชมรวม
131,795
ผู้เข้าชมเดือนนี้
192
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
คนเราเมื่อจนตรอกจนถึงที่สุดแล้วนั้นยังจะสามารถคิดถึงคนอื่นได้หรือไม่ เป็นคำถามที่เจียงหยวนเฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ เพราะความดื้อรั้น อยากจะครอบครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง จนทำให้เธอสูญเสีญทุกอย่าง แม้กระทั่งความเป็นตัวของตัวเองและจิตวิญญาณ
เจียงหยวน แม่ลูกหนึ่งอายุ 25 ปี เธอเป็นสาวสวยประจำหมู่บ้านชนบทพื้นที่ห่างไกล อยากจะหนีจากความยากจน วิธีเดียวที่คิดได้คือต้องแต่งงานกับ โจวเฉวียน ลูกชายคนที่สามของผู้นำหมู่บ้าน คนที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้
เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามาครอบครอง แม้กระทั่งยอมถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงหน้าไม่อาย เป็นแม่ดอกบัวขาวที่คิดแย่งคู่หมายของคนอื่น
ในที่สุดเธอก็ได้เข้ามาเป็นสะใภ้สามของบ้าน แต่เพราะแต่งงานด้วยความถูกต้อง ไม่ใช่ความรัก สามีจึงหนีไปเป็นทหาร โดยใช้ข้ออ้างว่าอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวใหญ่ อีกทั้งยังไม่ได้เป็นที่รักของแม่สามีและบรรดาสะใภ้ทั้งหลาย เพราะเข้ามาแบบผิดๆ ทำให้แต่ละวันในการใช้ชีวิตนั้นยากลำบาก
เธอยังคงต้องไปทำงานแลกแต้มค่าแรงเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่สภาพความเป็นอยู่นั้น ดีขึ้นกว่าบ้านเดิมเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็มีห้องส่วนตัว ที่ไม่มีแม้เพียงเงาของสามี
หลังจากที่แต่งงานกัน เช้าวันถัดมาเขาก็บอกจะไปสมัครเป็นทหาร จากนั้นหนึ่งเดือนก็มีแค่เงินเดือนที่ส่งให้กับทางครอบครัว และแน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นถูกเก็บเข้าส่วนกลาง
ความจริงแล้วเจียงหยวนไม่ต้องพยายามขนาดนั้น เพราะถึงอย่างไรก็มีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการจะแต่งงานกับเธอ แต่เพราะเลือกแล้วว่าต้องเป็นเขาเท่านั้น
โชคชะตามักจะเล่นตลกกับผู้คนอยู่เสมอ หลังจากแต่งงานได้ 1 เดือน เธอก็มีอาการแพ้ท้อง ทั้งที่พลาดมีอะไรกันแค่ครั้งเดียว สามีหนีไปเป็นทหารแต่ยังฝากตัวอ่อนไว้ในท้องของเธอ
ผู้หญิงที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ซ้ำยังตั้งครรภ์จึงลำบากเพิ่มขึ้นไปอีก พ่อแม่สามีไม่รัก พี่น้องไม่ใส่ใจ อาหารการกินก็ใช่ว่าจะอยู่ดีกินดี เจียงหยวนหัวเราะทั้งน้ำตากับชีวิตที่ตนเองเลือก เธอเลือกเองจะโทษใครได้
เพราะทำงานหนักมากจนเกินไป หรือกินอาหารไม่เพียงพอทำให้การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นร่างกายก็เจ็บออดๆแอดๆมาโดยตลอด
“แม่ครับ ตื่นเถอะครับ” เด็กชายวัย 9 ขวบเขย่าแขนของผู้เป็นแม่ที่นอนป่วยเป็นผักมาหลายวัน ทว่ากลับไม่ยอมไปหาหมอ
“โจวจิ่น ต่อไปถ้าไม่มีแล้วลูกต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังปู่กับย่าเข้าใจหรือเปล่า” เจียงหยวนรู้ว่าเวลาของตัวเองคงใกล้หมดลงแล้ว เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะกอดลูกชายเสียด้วยซ้ำ
10 ปีที่ผ่านมา เธอใช้ชีวิตบนคำก่นด่าของพ่อแม่สามี ที่เป็นต้นเหตุทำให้ลูกชายคนที่สามของพวกเขาต้องจากบ้านไป และที่ระบายอารมณ์ของเธอคือโจวจิ่น ลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นตัวแทนของผู้ชายใจร้ายคนนั้น
น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพลั่งพรู แต่ไม่มีเสียงร้องไห้ออกมาแม้แต่น้อย มีแต่เสียงสะอื้นที่ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
“แม่ครับ แม่ต้องหายนะ ผมจะแบกแม่ไปโรงพยาบาล” เด็กชายร้องไห้เสียงดัง
เขาไม่เคยโกรธเคืองผู้เป็นแม่เลย ด้วยรู้ว่าผู้เป็นแม่ต้องทนลำบากมากแค่ไหนที่ต้องทำงานส่งให้เขาได้มีโอกาสร่ำเรียน
เพราะต้องการเงินส่งลูกชายให้ได้เรียนหนังสือ เจียงหยวนถึงขั้นเอ่ยปากขอแยกบ้าน เพื่อที่เงินในแต่ละเดือนที่สามีส่งมาเธอจะได้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่งเสียลูกชาย
“เปล่าประโยชน์ แม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่ใยดีเราสองแม่ลูก ก็อย่าได้โกรธเคืองให้เป็นบาปติดตัว แม่จะคอยมองดูความสำเร็จของลูกจากข้างบนนั้น”
เจียงหยวนเอื้อมมือที่สั่นเทาไปลูบหน้าลูกชาย พร้อมทั้งเช็ดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลเลยแม้แต่น้อย โจวจิ่นจับมือที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกของแม่เขาไว้
“ผมขอโทษครับแม่ ผมไม่มีพ่อก็ได้แต่ผมต้องมีแม่นะครับ” จบคำพูดนั้นมือที่คอยเช็ดน้ำตาก็ตกลง วินาทีนั้นโจวจิ่นเหมือนหัวใจหยุดเต้น เด็กชายจ้องมองใบหน้าที่เคยสวยงาม แม้ว่ามันจะบึ้งตึงตลอดเวลา หรืออารมณ์เสียใส่เขาอยู่ตลอด แต่ในเด็กชายรู้ดีว่าแม่นั้นรักและเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
“ผมรู้ว่าแม่เหนื่อยมามาก ต่อจากนี้จะไม่เหนื่อยอีกต่อไปแล้วนะครับแม่ ไปอยู่บนฟ้าคอยดูความสำเร็จของผมนะครับ ฮึก”
โจวเจียงบอกกับตัวเองว่าจะร้องไห้แค่วันนี้เท่านั้น แต่ต่อจากนี้ไปเขาจะกลายเป็นคนใหม่ที่ไม่มีวันร้องไห้อีก
อีกทางด้านหนึ่งของห้องคับแคบนั้น เตียงหยวนพยายามจะลืมตา แต่พบว่าเปลือกตาหนักอึ้ง จนแทบไม่ขยับ ทว่าสองหูกลับได้ยินเสียงของคนพูดคุยกันอยู่รอบๆ
“อย่าเสียใจไปเลย แม่ของหลานไปสบายแล้ว”
“เราจะทำยังไงกับหล่อนดีล่ะคะคุณแม่”
ร่างบางกรอกตาไป-มา สำรวจภายในห้อง จำได้ว่าตัวเองไม่สบายกินยาแล้วเผลอหลับไป แต่ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ อีกทั้งร่างกายยังขยับเขยื้อนไม่ได้ รู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง ในใจรู้สึกสั่นไหวตามสัญชาตญาณ
“คะ คุณแม่คะ ดูนั่นสิคะน้องสะใภ้ลืมตาแล้ว”
เจียงหยวนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง หล่อนเรียกเธอว่าอะไรนะ น้องสะใภ้อย่างนั้นหรือ? ‘ฉันไปมีสามีตั้งแต่เมื่อไหร่?’
นิยายเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิง ไม่มีเจตนาอ้างอิงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ชื่อตัวละคร สถานที่ รวมไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่ง ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบ หรืออ้างอิงข้อมูลความเป็นจริงได้
โปรดใช้วิจารญาณในการอ่าน
ผลงานอื่นๆ ของ scince2 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ scince2
ความคิดเห็น